ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การแก้ปัญหาทางด้านรูปร่าง ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยเฉพาะส่วนที่ลดยาก ไม่ว่าจะออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนัก ก็ไม่สามารถลดได้ ยิงคุณผู้ชายด้วยแล้ว อยากมี Six Pack แบบเป็นลูก ๆ โหมกระหน่ำในการเข้าฟิตเนสก็ไม่ทันใจ ดังนั้นเราจึงมีตัวช่วยในการสร้าง Six Pack ให้กับคุณผู้ชายทั้งหลาย นั้นก็คือการดูดไขมัน Six Pack เป็นการศัลยกรรมเสริมความหล่อและความงาม ให้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นลอน ๆ ที่ Sexy Line หรือเส้น 11 ก็สร้างง่ายจนคาดไม่ถึง ทำให้การอวดซิกแพค แขนล่ำ หน้าท้องราบเรียบเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน
กล้ามเนื้อซิกแพค เป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องบริเวณตรงกลางท้อง ซึ่งคนทุกคนมีกล้ามเนื้อมัดนี้หมดแต่จะมองไม่เห็น เพราะถูกบดบังด้วยไขมันที่เอาออกยากที่สุดในร่างกาย แต่แบ่งตามเส้นเอ็นที่ขวางตามแนวตั้งและแนวนอน จึงทำให้เห็นเป็นหลายลูกตั้งแต่ 4 ถึง 8 ลูก แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเป็น 6 ลูก จึงเรียกว่า six packs
และดูดไขมันหน้าท้องสร้างซิกแพค ช่วยให้ถึงเป้าหมายได้แบบเร่งด่วน รวดเร็วมากขึ้น ตอบโจทย์คนที่อยากมีซิกแพค ทั้งได้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องชัดเจน
การผ่าตัดดูดไขมัน Six Pack อันตรายไหม
หลาย ๆ มีความกังวลในการผ่าตัดดูดไขมัน ที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ จึงทำให้ยังไม่ได้ตัดสินใจทำเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น การดูดไขมันส่วนเกินไม่ได้มีอันตรายอย่างที่หลาย ๆ คนคาดคิด และการเลือกใช้บริการสถานพยาบาลที่ถูกกฎหมาย ได้รับการรับรองมาตรฐาน มีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษา มีสถานที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายกับการดูดไขมันได้
ข้อควรระวังในการดูดไขมันสร้างชิกแพค
- การดูดไขมันในการสร้างซิกแพคถึงแม้จะเห็นผลครั้งแรก แต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอาจเป็นเดือนกว่าจะโชว์กล้ามท้องได้
- ต้องสวมใส่แผ่นโฟมสร้างร่องให้ถูกตำแหน่งของร่อง พร้อมใส่ชุดกระชับ ทับอีกครั้ง
- ต้องรับประทานอาหารให้ถูกโภชนาการ และออกกำลังกายพอสมควร เพื่อให้คงสภาพกล้ามท้องให้ดูแข็งแรงไว้ให้นานที่สุด
การดูดไขมันสร้าง Six Pack มีขั้นตอนอย่างไร
ก่อนอื่น ท่านจะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อทำการประเมินบริเวณที่ต้องการดูดไขมันว่าสามารถทำการดูดไขมันได้หรือไม่ จากนั้นก็ให้แจ้งประวัติการรักษาและการแพ้ยาต่าง ๆ โรคประจำตัวเพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินว่าท่านสามารถทำได้หรือไม่
ขั้นตอนการดูดไขมัน 3 ขั้นตอน ดังนี้
แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะจุด ในบริเวณที่ต้องการจะทำที่มีขนาดเล็ก ๆ และจะใช้การดมยาสลบในกรณีที่มีการดูดไขมันในบริเวณกว้างส่วนใหญ่นิยมใช้ในระดับโรงพยาบาล
หลังจากนั้นจะทำการดูดไขมันโดยใช้เครื่องดูดไขมันส่งผ่านพลังงานไปยังใต้ชั้นผิว ซึ่งแพทย์จะกำจัดไขมันเหนือกล้ามเนื้อได้ทั้งหมด เพื่อเป็นการสร้าง Six Pack
หลังจากการดูดไขมันจะเห็นผลลัพธ์ทันที กล้ามเนื้อจะเป็นลอนขึ้น แต่จะให้ดีสวยงามต้องรอหลังจาก 3 เดือนผ่านไป
หลังดูดไขมันควรดูแลตัวเองอย่างไร
- ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ละเอียด ทานยาตามที่แพทย์สั่ง และมาตามนัดเพื่อเป็นการติดตามอาการ
- ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรงดออกกำลังกายอย่างหนักเพราะอาจทำให้แผลอักเสบได้
- ภายในระยะเวลา 7 – 10 วัน อาการเขียวช้ำจะค่อย ๆ หายไป แต่อาจมีอาการชาบ้าง
- แนะนำให้ใส่ชุดที่เข้ารูปลอนของซิกแพค ประมาณ 7 – 10 วันแรกควรใส่ตลอดทั้งวัน ถอดได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และใส่เฉพาะตอนกลางคืนต่ออีกประมาณ 7 -14 วัน ซึ่งเป็นคำแนะนำของแพทย์
- แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีน เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและไม่ควรกินอาหารแสลง
- การดูดไขมันด้วยเทคนิคเฉพาะ การฟื้นตัวในการดูดไขมันในผู้ชายนั้น จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้หญิง ผลลัพธ์ที่ผู้ชายได้รับจะชัดเจนประมาณ 1 เดือน และเห็นความกระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวจากการดูดไขมัน ซึ่งหากไม่มีการเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วก็ไม่จำเป็นต้องดูดไขมันอีก
ภาวะแทรกซ้อนหลังการดูดไขมัน
ผู้เข้ารับการดูดไขมันบางราย เมื่อดูดไขมันไปแล้วจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดไม่เรียบ ลักษณะจะเป็นคลื่น เนื่องมาจากการดูดไขมันในชั้นผิวที่ไม่ลึกมากพอ หรือบางรายผิวอาจแข็ง รักษาได้ด้วยการนวดซึ่งนวดได้ทั้งแผนได้และน้ำมัน สิ่งที่ควรระวังมาก ๆ คือ การติดเชื้อของแผลผ่าตัด ซึ่งจะต้องรักษาแผลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
การดูดไขมันเจ็บมากไหม
ปัจจุบันเทคโนโลยีในการดูดไขมันได้ถูกพัฒนา เพื่อให้คนไข้รู้สึกเจ็บน้อยลง เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่จะทำโดยแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูดไขมัน เพราะต้องใช้เข็มในการแทงลงไปชั้นใต้ผิวหนัง เข็มที่แทงเข้าไปในชั้นไขมันก็มีโอกาสสูงมากที่จะโดนเส้นเลือด เส้นประสาท เนื้อเยื่อเกี่ยวพันข้างเคียง รวมถึงหากแพทย์ไม่ระมัดระวัง หรือมีความเชี่ยวชาญไม่มากพอ ก็อาจแทงเข้าไปลึกจนถึงชั้นกล้ามเนื้อได้ ดังนั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาในขณะดูดไขมัน เพราะจะทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บน้อยลงและรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นการนำพลังงานเทคนิค และเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย ทำให้คนไข้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น