ดูดไขมันภาษาอังกฤษ แปลว่าอะไร มีวิธีอะไรบ้าง?

ดูดไขมันภาษาอังกฤษ ( Liposuction ) เป็นแนวทางการศัลยกรรมเพื่อความงามที่ใช้เคล็ดวิธีสำหรับในการดูดไขมันส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งเป็นจุดที่ลดไขมันได้ยากแม้ว่าจะควบคุมด้านการกินอาหารรวมทั้งบริหารร่างกายแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ท้อง บั้นท้าย ต้นขา ก้น แขน หรือคอโดยธรรมดาการดูดไขมันมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน เป็นวิธีแบบดั้งเดิมโดยการใช้การสูดดมยาสลบ และวิธีปัจจุบัน โดยการดูดไขมันด้วยเคล็ดวิธี Tumescent หรือการใส่ยาชาและน้ำเกลือที่เยื่อไขมัน

การดูดไขมันสามารถดูดส่วนไหนได้บ้าง

การดูดไขมันภาษาอังกฤษ สามารถดูดได้ทั้งหมดทุกส่วนที่ต้องการแต่ส่วนใหญ่แล้วนิยมดูดไขมันบริเวณ เหนียง ต้นแขน หน้าท้องบนล่าง คาง สะโพก ขา และก้น เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ ที่เราดูดนั้นกระชับ

การดูดไขมันมีวิธีการดูด 4 วิธีดังนี้

ดูดไขมันภาษาอังกฤษ

1. การดูดไขมันแบบ VASER

การดูดไขมันแบบ Vaser ได้แก่การใช้อุปกรณ์ที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) สำหรับในการเผาผลาญไขมัน เป็นเครื่องรุ่นแรกที่ปรับปรุงมาก่อนการดูดไขมันแบบอื่น ๆ

กระบวนการคือ แพทย์จะทำการฉีดน้ำเกลือที่มีส่วนผสมของยาชาไปยังตำแหน่งที่ต้องการจะดูดไขมันส่วนเกินออก แล้วหลังจากนั้นกรีดผิวหนังแล้วก็ใส่อุปกรณ์เครื่องมือเล็ก ๆ โดยจะใส่เข้าไปใต้ผิว แล้วอุปกรณ์จะปลดปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์จากระบบหัวฉีด Vaser ที่มีหัวฉีดขนาดเล็กมาก ประมาณ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น คลื่นนี้จะช่วยสำหรับในการย่อยไขมันให้อ่อนนิ่มและก็เหลวมากเพิ่มขึ้น จนถึงละลายออกมาปนอยู่ในน้ำเกลือที่หมอฉีดเข้าไปก่อนหน้านั้น ต่อจากนั้นจึงไปสู่กระบวนการดูดไขมันต่อไป

จุดเด่นของการดูดไขมันแบบ Vaser คือ สามารถดูดไขมันได้จำนวนมาก เหมาะสมกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินที่กำจัดยากมาก โดยยิ่งไปกว่านั้นส่วนหน้าท้อง บั้นท้าย ต้นขา

2. การดูดไขมันแบบ BodyTite

การดูดไขมันแบบ BodyTite เป็นวิธีที่ปรับปรุงหลังจาก Vaser ราว 7 ปี การดูดไขมันแบบนี้จะใช้เทคโนโลยีปลดปล่อยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency: RF) ออกมา เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันให้มีโมเลกุลที่เล็กลง ดูดออกมาได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ไขมันที่ถูกดูดออกมามีเลือดปนน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ก่อให้เกิดแผลเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมช่วยกระชับผิวได้ในตัว

 

จุดเด่นของการใช้คลื่น RF กำจัดไขมัน คือ ไม่ทำให้ผิวเป็นคลื่นหลังดูดไขมัน ผิวจะยังคงเรียบเนียน ช่วยลดการเกิดรอยช้ำได้อย่างดี แผลหายเร็ว ควบคุมพลังงานแล้วก็กระจายความร้อนได้ดี ให้พลังงานที่กระจายสม่ำเสมอ 

3. การดูดไขมันแบบ Water Jet หรือ Body Jet

การดูดไขมันแบบ Water Jet เหมาะสมกับคนที่ต้องการนำไขมันไปเติมเต็มส่วนอื่น ๆ การดูดไขมันแบบ Water Jet จะไม่เหมือนกับวิธีอื่นคือ ใช้พลังงานน้ำสำหรับในการแยกเซลล์ไขมันออกมาจากเยื่อผิวหนัง ทำให้เจ็บน้อย และเซลล์ไขมันมีภาวะสมบูรณ์ ไม่ตาย

ที่สำคัญ มีระบบปลอดเชื้อโรคเป็นแบบระบบปิด คือ ดูดไขมันแล้วเอาไปฉีดส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เลยโดยทันที นิยมใช้เพื่อสำหรับการเติมไขมันใบหน้าให้ดูอิ่มเอิบ หรือใช้เสริมทรวงอก บั้นท้าย ก็ได้ด้วยเหมือนกัน

จุดเด่นของการดูดไขมันแบบ Water Jet หรือ Body Jet สามารถดูดไขมันอย่างซอกซอนไปในจุดที่ดูดยากได้ แล้วก็ผิวไม่เป็นคลื่นหลังจากการดูดไขมัน

4. การดูดไขมันด้วยเครื่องสั่น หรือ PAL (Power Assisted Liposuction)

การดูดไขมันด้วยเครื่องสั่น เป็นเครื่องที่ปรับปรุงรุ่นหลัง ใช้ระบบสั่นช่วยสำหรับเพื่อการดูดไขมันให้ไหลออกมาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบ ๆ ที่พังผืดมีความแข็งแรง ตัวอย่างเช่น กึ่งกลางหลัง หรือรอบ ๆ ที่เคยดูดไขมันมาก่อนแล้วจำเป็นต้องทำซ้ำ ปัจจัยที่เครื่องแบบ PAL ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากว่าราคาเครื่องค่อนข้างจะสูง

ดูแลตัวเองหลังดูดไขมันอย่างถูกวิธีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สำหรับคนดูดไขมันที่ต้องการมีรูปร่างที่ดีและได้ผลลัพธ์ที่ดีหลังการดูดไขมันมาใหม่ควรดูแลตัวเองดังต่อไปนี้

1. กินยาตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด

หลังดูดไขมันหมอจะให้ยายาปฏิชีวนะ (ยาสำหรับใช้ในการฆ่าเชื้อ) ยาพาราเซตามอล แล้วก็ยาลดบวมกลับบ้าน ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องกินยายาปฏิชีวนะต่อเนื่องกันทุก ๆ วันจนหมด รวมทั้งกินยาแก้ปวด ยาลดบวม เมื่อมีอาการ

2. ชำระล้างแผลทุก ๆ วันจนกว่าจะตัดไหม

หลังดูดไขมัน หมอจะเย็บปิดปากแผล 1 เข็ม ผู้ป่วยต้องชำระล้างแผลทุกวัน โดยใช้สำลีชุบเบตาดีนถูรอบ ๆแผลผ่าตัด แล้วก็ใช้ผ้าพันแผลที่หมอให้ ปิดปากแผล ทำต่อเนื่องกันทุกวันจนกว่าหมอจะนัดเข้ามาตัดไหม (ใช้ระยะเวลา 5 – 7 วัน)

3. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

ยาชาที่หมอใส่เข้าไปในระหว่างการดูดไขมัน อาจจะส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน อ้วก หรือมึนหัวได้ ผู้ป่วยควรจะดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และให้ร่างกายขับยาชาออกมาในรูปแบบของปัสสาวะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 1 วันหลังดูดไขมัน

4. อาหารที่ควรจะหลีกเลี่ยง

ควรจะกินอาหารสุก ไม่ควรกินอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารดิบ อาหารทะเล ของดอง เนื่องจากว่าอาจจะมีเชื้อโรคปนอยู่ อาจก่อให้แผลมีการติดเชื้อโรคได้ ควรจะงดเว้นอาหารจำพวกดังกล่าว 1 เดือน หลังการดูดไขมัน

5. งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่

การดื่มแอลกอฮอล์แล้วก็ดูดบุหรี่จะทำให้แผลหายช้าแล้วก็ติดโรคได้ง่าย ผู้ป่วยควรจะงดเว้นการดื่มแอลกอฮอล์และงดเว้นการดูดบุหรี่ 1 เดือน หลังการดูดไขมัน

6. งดยาแล้วก็อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

ควรจะงดยาแอสไพริน (Aspirin) วิตามินอี น้ำมันตับปลา แป๊ะก๊วย โสม หรือยาและก็อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 2 อาทิตย์ เพราะว่าจะก่อให้แผลผ่าตัดหายช้า ฟื้นตัวช้า

7. ห้ามให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ

น้ำ (ยาชา น้ำเกลือ) สามารถซึมออกมาจากร่างกายผ่านแผลผ่าตัดได้ แต่ห้ามให้น้ำซึมเข้าไปในแผล เพราะว่าจะมีผลให้แผลเปียกชื้น แผลเฉอะแฉะ ไม่สมานชิดกัน แล้วก็อาจติดเชื้อโรคได้ ผู้ป่วยสามารถเช็ดตัวได้ โดยการนำพลาสเตอร์แบบกันน้ำมาปิดปากแผลก่อนชำระร่างกาย แต่ว่าไม่แนะนำให้อาบน้ำ

8. ใส่ชุดยกกระชับตามคำแนะนำของหมอ

หลังดูดไขมัน จะมีช่องว่างใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะต้องใส่ชุดยกกระชับตามคำแนะนำของหมอ หรือใส่วันละ 22 – 24 ชั่วโมง หรือตลอดทั้งวัน (ถอดออกเฉพาะเวลาอาบน้ำ) ในตอน 1 เดือนแรก เดือนที่ 2 – 3 อาจจะลดช่วงเวลาสำหรับการสวมชุดยกกระชับ จากวันละ 22 – 24 ชั่วโมง มาเป็น 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ว่าจะใส่เฉพาะตอนช่วงกลางวัน หรือตอนกลางคืน ซึ่งช่วงเวลาสำหรับการสวมชุดยกกระชับในเดือนที่ 2 แล้วก็ 3 จะขึ้นกับการประเมินของหมอ

9. การบริหารร่างกาย

หลังดูดไขมันราว 2 อาทิตย์ ผู้ป่วยสามารถเริ่มบริหารร่างกายแบบเบา ๆ ได้หากต้องการบริหารร่างกายหนัก สามารถทำได้ภายหลังดูดไขมันไปแล้ว 1 เดือน

หากผู้ป่วยปฏิบัติได้ตามคำแนะนำของหมอได้ทั้งหมด หุ่นในฝันของคุณก็อยู่แค่เอื้อมแล้วค่ะ