หนอกคอ หรือภาษาอังกฤษคือ Buffalo Hump เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่บริเวณหลังคอเป็นจำนวนมาก ทำให้เสียบุคลิกภาพ การมีหนอกคอนั้นแม้จะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดใดๆ ให้กับคนที่เป็น และดูผิวเผินอาจจะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่คุณๆ ทราบกันหรือไม่ว่านั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ถึงความผิดปกติจากโรคบางอย่างที่เราอาจไม่คาดคิดก็เป็นได้ หนอกคอเกิดจาก การสะสมของไขมันสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนมาก ๆ จะมีไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงบริเวณต้นคอ และทำให้เกิดหนอกคอขึ้น หรือ เกิดจากภาวะ Cushing Syndrome คือการได้รับสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ จนทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกาย ได้แก่ การมีภาวะอ้วนเฉพาะร่างกายส่วนบน รวมถึงการมีไขมันพอกพูนบริเวณไหปลาร้าและต้นคอจนเหมือนหนอกควาย หรือ Buffalo Hump นั่นเอง
แนวทางการรักษาหนอกคอ
1.การรักษาโดยการดูดไขมัน
2.การรักษาโดยเทคนิค Mesotherapy และ
3.การรักษาโดยการซ่อมกระดูกอันเนื่องมาจากภาวะกระดูกพรุน
การรักษาโดยวิธีดูดไขมันหนอก
Vaser Lipo Selection ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ในการสลายก้อนไขมัน ทำให้ก้อนไขมันแตกตัวและกลายเป็นของเหลวและอ่อนนุ่ม ทำให้สามารถดูดออกจากร่างกายได้โดยง่าย
Body Tite เป็นเทคโนโลยีการดูดไขมันที่ใช้พลังงาน RF หรือคลื่นวิทยุในการสลายก้อนไขมัน มีผลทำให้คอลลาเจนเปลี่ยนสภาพ ผลที่ได้คือไขมันถูกกำจัดออกไปในปริมาณที่มาก ทำให้ผิวหนังกระชับหดตัว ผิวเรียบขึ้น โดยทั้ง 2 วิธีข้างต้น เป็นการช่วยให้ไขมันบริเวณหนอกคอถูกกำจัดออกไปอย่างนุ่มนวล โดยไม่ทำให้เส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณโดยรอบเกิดความบอบช้ำหลังจากการดูดไขมันร่างกายจะมีการปรับตัว โดยจะค่อยๆ ดูดซึมน้ำเหลืองออกไป และสร้างพังผืดขึ้นมาแทน ซึ่งพังผืดก็จะมีการหดตัว มีผลทำให้ชั้นใต้ผิวหนังกับกล้ามเนื้อติดกันมากขึ้น ชั้นใต้ผิวหนังบริเวณนี้ก็จะกลายเป็นชั้นพังผืดที่มีไขมันหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ถึงตรงนี้ผิวหนังก็จะหดตัวราบลง
ผู้ที่ต้องการดูดไขมันหนอกคอเพราะไม่สามารถลดลงได้ด้วยการออกกำลังกาย จึงจำเป็นต้องใช้วิธีรักษาโดยการดูดไขมันออก
การเตรียมตัวดูดไขมันหนอก
การรักษาหนอกคอไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แพทย์อาจใช้การฉีดยาชาเพื่อลดความเจ็บปวดขณะทำการรักษา ซึ่งการดูดไขมันหนอกก่อนการดูด คนไข้ต้องเข้าพบแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยในการดูด การซักประวัติต่าง ๆ โดยก่อนทำการรักษา แพทย์จำเป็นที่จะต้องตรวจร่างกายโดยรวมของคนไข้ว่ามีสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง หรือมีความดันที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่การรักษาก็มีความเสี่ยงมากขึ้นไป
ดังนั้นคนไข้จึงมีความเข้าใจพื้นฐานในวิธีการรักษาและเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องมือต่าง ๆ ที่แพทย์จะนำมาใช้ รวมถึงผลลัพธ์ที่จะได้หลังการรักษา ในระหว่างและหลังการรักษาสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น ติดเชื้อ เลือดออก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากสุขภาพวะของคนไข้เอง
ความเสี่ยงในการดูดไขมันหนอก
แต่ถือว่าเป็นดูดไขมันที่มีความเสี่ยง โดยการดูดไขมันบริเวณหนอกคอมีผลข้างเคียงน้อยและใช้เวลาในการพักรักษาตัวไม่นาน ปกติหลังการรักษาคนไข้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยกเว้นบางกรณีที่มีเลือดออกมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากดูดไขมันชั้นลึกเกินไป ซึ่งอาจทำให้โดนกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ในกรณีนี้แพทย์ให้คนไข้อยู่ดูอาการที่สถานพยาบาลจนแน่ใจว่า ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้วจึงค่อยให้กลับบ้าน
ค่าใช้จ่ายในการดูดไขมัน
ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษา หากเป็นการดูดไขมัน ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดว่ามากน้อยขนาดไหน ทั้งนี้รวมถึงสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการและเครื่องมือที่ใช้ว่ามีความพิเศษขนาดไหนอย่างไร
การกำจัดหนอกคอ เป็นการศัลยกรรมแก้ไขความผิดปกติที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การตรวจหาสาเหตุการเกิดของโรคที่แท้จริง การแก้ไขความปูดนูนที่ผิดปกติด้วยวิธีการดูดไขมันและวิธีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ฉะนั้น เมื่อคอเกิดเป็นหนอกขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ควรที่จะปล่อยทิ้งไว้ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรคจะช่วยให้การแก้ไขทำได้ถูกต้องตรงจุด และทำให้คุณ เพื่อให้คุณมีลำคอที่ระหงสง่าและได้บุคลิกภาพที่ดีกลับมา
“Buffalo Hump เป็นภาวะที่ไม่ใช่โรคเสียทีเดียว แต่เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมบริเวณที่ต้นคอมากผิดปกติ ซึ่งถ้าเกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานและได้มีการหยุดใช้ยาไปแล้ว แต่ยังเหลือให้เห็นเป็นหนอกอยู่ การรักษาด้วยวิธีดูดไขมัน ก็สามารถกำจัดหนอกออกไปได้อย่างถาวร โดยจะไม่กลับมาเป็นอีก โดยปกติการดูดไขมันบริเวณนี้จะช่วยให้ผิวหนังยุบตัวลงไปประมาณ 20% เท่านั้น ไม่ได้หดลงมาก ซึ่งการใช้เครื่องมือประเภท Vaser และ Body Tite อาจช่วยให้ผิวหนังหดตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% ฉะนั้น หากหนอกเป็นก้อนใหญ่มาก คงต้องมีการตัดหนังเพื่อตกแต่งให้บริเวณนี้ดูสวยงามดูมีรูปร่างที่ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ไม่ค่อยสวย ฉะนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ แพทย์จะหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เกิดแผลบริเวณนี้ครับ ส่วนการจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่นั้น คงขึ้นอยู่กับว่าเราได้รักษาโรคที่แท้จริงไปหรือยัง แต่หากยังไม่ได้รักษาโรคที่เป็นสาเหตุแท้จริง แล้วมาทำการดูดไขมันโอกาสที่จะเกิดซ้ำ ก็เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ ดังนั้น การปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์จะได้สืบค้นและรักษาพยาธิสภาพที่ซ่อนอยู่ข้างใน จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ”