ปัจจุบันผู้ที่มีหน้าท้องยื่น พุงป่อง ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ลด ควบคุมอาหารด้วยแล้วก็ไม่ได้ผล ดังนั้นทางการแพทย์สมัยใหม่จึงได้นำการดูดไขมันมาใช้ ซึ่งมันเป็นการดูดไขมันเฉพาะส่วน สามารถช่วยได้เยอะ และการดูดไขมันหน้าท้อง เป็นการลดไขมันเฉพาะส่วนเพียงจึงไม่ใช่ทางออกของคนที่มองหาวิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนหรือถาวร แต่เป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องหน้าท้องไม่ให้มีไขมันส่วนเกิน
การดูดไขมันหน้าท้องจะมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี
- การดูดไขมันแบบเวเซอร์ (VASER Liposuction ) เป็นการดูดไขมันด้วยเทคนิคใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์จากการสั่นไปสลายไขมันให้เหลว ทำให้สามารถดูดออกมาได้ง่ายขึ้น ทำให้รอยแผลเล็ก เจ็บตัวน้อย โดยไม่ทำลายเซลล์ประสาทหรือหลอดเลือดใกล้เคียง วิธีนี้จะใช้กับผู้ที่มีไขมันเยอะทำแล้วแผลหายไว ไม่ต้องพักฟื้นเยอะ แต่วิธีนี้ค่อนข้างแพง
- การดูดไขมันด้วยคลื่นไฟฟ้า (Body Tite) เป็นการใช้เทคนิคยิงคลื่นวิทยุร่วมกับคลื่นความร้อนเข้าไปละลายไขมันให้เหลวเช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากดูดไขมันแล้วดูสวย ดูตึงแบบเนียน ๆ ไม่ต้องเย็บเก็บหนังหน้าท้องในภายหลัง แต่ราคาค่อนข้างสูงเหมาะกับผู้ที่มีงบเยอะ
- การดูดไขมันแบบพาวเวอร์ (PAL) ใช้เครื่องมือหัวมอเตอร์แบบสั่นที่ทันสมัย ทำให้สามารถแยกชั้นไขมันที่สะสมมานานจนเป็นพังผืดได้ดี มีประสิทธิภาพในเรื่องของการสลายไขมันในปริมาณมาก และปลอดภัยมากขึ้น แต่ก่อนทำต้องวางยาสลบ งดอาหารการกินบางประเภท และต้องตัดไหมเหมือนการผ่าตัดทั่วไป
ข้อควรระวังการดูดไขมันหน้าท้อง
สำหรับการดูดไขมันหน้าท้องหน้าท้องที่ใหญ่และกว้างมาก เมื่อดูดไขมันออกไปแล้วอาจทำให้ หย่อนยาน แต่ไม่ต้องห่วงปัญหานี้จะหมดไปหากเราทำตามแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนั้นการดูดไขมันหน้าท้องจึงเหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมมาก
ลองสำรวจตัวเองก่อนว่าเราเหมาะที่จะดูดไขมันหน้าท้องหรือไม่ เราต้องดูก่อนว่าเรามีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องเยอะไหม อยากแก้ปัญหาไขมันสะสมตรงไหน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งแจ้งประวัติรักษาโรคประจำตัว และการแพ้ยาต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ และก่อนเข้ารับการรักษา และหลังรักษาทานอาหารอะไรได้บ้าง และควรงดเว้นอะไรบ้าง เช่นโดยการงดบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดอาหารหมักดอง อาหารรสจัด และออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ 100%
และหากใครที่เป็นโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคจำพวก เบาหวาน, โรคหัวใจ, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ เพราะร่างกายของบางคนอาจสร้างของเหลวมาทดแทนส่วนที่หายไปพร้อมไขมันไม่ทัน หรือหากระบบไหลเวียนเลือดทำงานช้าผิดปกติ ระหว่างดูดไขมัน อาจมีอาการช็อกได้ ดังนั้นควรแจ้งแพทย์ให้ชัดเจน เพื่อที่แพทย์จะได้วินิจฉัยว่าสมควรรับการรักษาโดยการดูดไขมันหรือไม่
ก่อนรักษาสิ่งที่สำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นใดการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยกับชีวิตตัวเองที่สุด ต้องศึกษาเลือกหาสถานที่ดูดไขมันที่ได้รับมาตรฐานรับรอง มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมโดยเฉพาะ พร้อมบริการด้วยเครื่องมือและนวัตกรรมทันสมัย รวมถึงยินดีให้คำปรึกษาทุกเรื่อง
หลังการดูดไขมันหน้าท้อง มีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง
การดูดไขมันเป็นการนำไขมันจำนวนมากออกไปภายในเวลารวดเร็ว ดังนั้นจึงเกิดอาการบวม ช้ำ เขียว จึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่จะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้นแพทย์จะให้สวมใส่สเตย์หรือชุดรัดกระชับ ซึ่งจะช่วยให้อาการบวมยุบเร็วขึ้น และยังช่วยพยุงร่างกายไว้ไม่ให้กระทบกระเทือนบริเวณที่เป็นแผล และยังลดอาการบวมได้อีกด้วย
ควรระมัดระวังการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ควรรักษาแผลผ่าตัดให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
ผู้ที่มีโรคาประจำตัวแผลหายช้าควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่แผลหายช้า หรือติดเชื้อหรือโรคแทรกซ้อนได้สูงกว่าคนทั่วไปหากต้องการดูดไขมันจริง ๆ จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบ
เนื่องจากการดูดไขมันแต่ละวิธีอาจมีการฉีดยาชา วางยาสลบ หรือใช้เครื่องมือและสารละลายเป็นตัวช่วย ผู้ใช้บริการบางรายอาจมีอาการบวม-ช้ำ หรือชาทั่วร่างกายเป็นเวลานาน หรือเกิดถุงใต้ชั้นผิวหนังจากการสะสมของของเหลว หน้าท้องเป็นก้อนไม่สม่ำเสมอ ร้ายแรงที่สุดคือปอดบวมน้ำและหัวใจล้มเหลวกะทันหัน เพราะได้รับสารละลายหรือยาสลบติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป
การดูแลตัวเองหลังการดูดไขมันหน้าท้อง
หลังผ่านการดูดไขมันแล้ว หาชุดกระชับหลังดูดไขมันเตรียมพร้อมไว้เลยเพราะบางคนอาจมีอาการบวม ช้ำ และปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย การใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมัน คือการเซฟตัวเองที่ดีที่สุด เพราะเป็นชุดที่ออกแบบมาเพื่อพยุงร่างกายของเราให้มั่นคง ป้องกันไม่ให้แผลบริเวณที่ดูดไขมันได้รับการกระทบกระเทือน
หลังดูดไขมันเสร็จเราสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที บางคนแผลอาจแห้งช้าอาจภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นเราต้องดูแลร่างกายตัวเองอยู่สม่ำเสมอ ควบคุมการกินอาหารตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด งดของหมักของดอง งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้อาการบวมช้ำรุนแรงขึ้นทำให้แผลอักเสบหรือหายช้าได้
และอย่าลืมควบคุมอาหาร เพื่อไม่ให้ไขมันกลับมาอีก เพราะถ้ายังไม่ควบคุมอาหาร หรือมีพฤติกรรมการกินแบบเดิม สุดท้ายไขมันก็จะกลับมาสะสมตามร่างกายส่วนอื่น ๆ ได้